อัลบัม

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550

**สื่อการเรียนการสอน**

หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสื่อการเรียนการสอน
ในการเรียนการสอนเป็นกระบวนการสื่อความหมายระหว่างผู้สอนและผู้เรียน โดยมีเจตนาที่จะถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องอาศัยตัวกลางหรือพาหะ ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงที่สำคัญ อาจเรียกชื่อแตกต่างกัน เช่น อุปกรณ์การสอน โสตทัศนอุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ สื่อการสอน สื่อการเรียน ซึ่งแต่ละคำหมายถึงตัวกลางทั้งสิ้น

...1.1 ความหมาย ประเภท ของสื่อการเรียนการสอน
นักวิชาการในวงการเทคโนโลยีทางการศึกษา โสตทัศนศึกษา และวงการการศึกษา ได้ให้คำจำกัดความของ “สื่อการสอน” ไว้อย่างหลากหลาย เช่น ชอร์ส กล่าวว่า เครื่องมือที่ช่วยสื่อความหมายจัดขึ้นโดยครูและนักเรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เครื่องมือการสอนทุกชนิดจัดเป็นสื่อการสอน



...1.2 คุณค่า และประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน
คุณค่าของสื่อการเรียนการสอน
ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
1 เรียนรู้ได้ดีขึ้นจากประสบการณ์ที่มีความหมายในรูปแบบต่าง ๆ
2 เรียนรู้ได้อย่างถูกต้อง
3 เรียนรู้ได้ง่ายและเข้าใจได้ชัดเจน
4 เรียนรู้ได้มากขึ้น
5 เรียนรู้ได้ในเวลาที่จำกัด....




...1.3 หลักการเลือกและการใช้สื่อการเรียนการสอน
ใช้สื่อการสอนในขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ทั้งนี้เพื่อเร้าผู้เรียนให้เกิดความสนใจ และเปลี่ยนพฤติกรรมในเบื้องต้น โดยปรับตนเองให้พร้อมที่จะเรียนรู้บทเรียนใหม่ ซึ่งอาจกระทำได้โดยการรื้อฟื้นความรู้เดิม (assimilation) หรือขยายความรู้เดิม (accommodation) เพื่อนำมาใช้ให้ประสานกันกับความรู้ใหม่ ซึ่งจะเรียนในขั้นต่อไป.






หน่วยที่ 2 จิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสื่อการเรียนการสอน
การเรียนการสอนซึ่งจะเป็นเรื่องราวทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา อันได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีแรงจูงใจ และทฤษฎีพัฒนาการ ลักษณะธรรมชาติผู้เรียน สิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการเรียนรู้ตลอดจนวิธีการนำความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นไปประยุกต์ใช้

...2.1 จิตวิทยาการรับรู้
การรับรู้ หมายถึง การรู้สึกสัมผัสที่ได้รับการตีความให้เกิดความหมายแล้ว เช่นในขณะนี้ เราอยู่ในภาวะการรู้สึก(Conscious) คือลืมตาตื่นอยู่ ในทันใดนั้น เรารู้สึกได้ยินเสียงดังปังมาแต่ไกล(การรู้สึกสัมผัส-Sensation) แต่เราไม่รู้ความหมายคือไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร

...2.2 จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of Learning ) เป็นการศึกษาธรรมชาติการเรียนรู้ และองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้.


...2.3 จิตวิทยาพัฒนาการ
จิตวิทยาพัฒนาการ ( Developmental )เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการด้านต่างๆ ของมนุษย์ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงวัยชรา....

หน่วยที่ 3 การสื่อสาร
การสื่อสาร คือกระบวนการสำหรับแลกเปลี่ยนสาร รูปแบบอย่างง่ายของสาร คือ จะต้องส่งจากผู้ส่งสารหรืออุปกรณ์เข้ารหัส ไปยังผู้รับสารหรืออุปกรณ์ถอดรหัส


...3.1 ความหมายและองค์ประกอบของการสื่อสาร
ระบบสื่อสารข้อมูลมีองค์ประกอบพื้นฐาน คือ ผู้ส่งสาร (Sender) คือ แหล่งข้อมูลเริ่มต้น ข้อมูลข่าวสาร ได้แก่ บุคคล สื่อมวลชน สาร หรือข้อมูล (Message) คือ เรื่องราวที่ต้องการให้ผู้อื่นได้รับรู้ มีความหมาย และ สาระสำคัญเพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่ง ที่ผู้ส่งต้องการสื่อไปยังผู้รับสาร อาจอยู่ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ข้อความ ท่าทาง การแสดงสีหน้า คำพูด น้ำเสียง การสัมผัส เป็นต้น



...3.2 รูปแบบของการสื่อสาร
รูปแบบทิศทางของการสื่อสาร 1. การส่งข้อมูลแบบทิศทางเดียว (Simplex Transmission) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่มีผู้ส่งข้อมูลทำหน้าที่ส่งข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียว และผู้รับข้อมูล ก็ทำหน้าที่รับข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียวด้วยเช่นกัน การส่งข้อมูลในลักษณะนี้ เช่น




...3.3 แบบจำลองของการสื่อสาร
การสื่อสารโดยทั่วไปจะมีลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือผู้ส่งหรือผู้สื่อ --- --- --- เนื้อหา เรื่องราว และกระบวนการสื่อสาร --- --- --- ผู้รับความมุ่งหมายของการสื่อสารคือ การที่ผู้รับยอมรับสารที่ผู้ส่ง ส่งไปยังผู้รับ ถ้าผู้รับเข้าใจความหมายของสาร ที่ผู้ส่งขอให้ผู้รับปฏิบัติ แต่ผู้รับไม่ปฏิบัติตาม ความสำเร็จตามความมุ่งหมายของการสื่อสารนั้นก็ไม่เกิดขึ้น




...3.4 การสื่อสารกับกระบวนการเรียนการสอน
รูปแบบกระบวนการสื่อสารของเบอร์โล เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เรียกว่า S.M.C.R.Process Model ได้ถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้ และนำมาประยุกต์ใช้เป็นหลักการพื้นฐานของเทคโนโลยี การศึกษาได้เป็นอย่างดี



หน่วยที่ 4 การออกแบบสื่อการเรียนการสอน
การออกแบบสื่อ องค์ประกอบที่สำคัญในการเรียนการสอนคือสิ่งที่ครูมักนำไปประกอบการเรียนการสอนนั่นก็คือ สื่อการสอนนั่นเอง สื่อการสอนนับว่ามีประโยชน์มากเพราะสื่อการสอนเปรียบเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจในเนื้อหาและได้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นมากกว่าที่ครูผู้สอนจะสอนโดยการมาบรรยายหรือสอนตามเนื้อหา โดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยสอน




...4.1 ความหมายของการออกแบบสื่อการเรียนการสอน
การออกแบบสื่อการสอน คือ การวางแผนสร้างสรรค์สื่อการสอนหรือการปรับปรุงสื่อการสอนให้มีประสิทธิภาพและมีสภาพที่ดี โดยอาศัยหลักการทางศิลปะ รู้จักเลือกสื่อและวิธีการทำ เพื่อให้สื่อนั้นมีความสวยงาม มีประโยชน์และมีความเหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอน


...4.2 วิธีระบบกับการออกแบบสื่อการเรียนการสอน
เป็นวิธีการนำเอาผลที่ได้ ซึ่งเรียกกันว่า ข้อมูลย้อนกลับ (Feed Back) จากผลผลิตหรือการประเมินผล มาพิจารณาปรับปรุงแก้ไข่ ระบบให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การพิจารณาแก้ไขนั้นอาจจะแก้ไขสิ่งที่ป้อนเข้าไปหรือที่ขบวนการก็แล้วแต่เหตุผลที่คิดว่าถูกต้อง แต่ถ้าปรับปรุงแล้วอาจจะได้ผลออกมาไม่เป็นที่พอใจอีกก็ต้องนำผลนั้นมาปรับปรุงแก้ไขใหม่ ต่อเนื่องกันไป จนเป็นที่พอใจ ฉะนั้นจะเห็นว่าวิธีระบบเป็นขยายการต่อเนื่องและมีลักษณะเช่นเดียวกันวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งของการวิเคราะห์ระบบ ก็คือ


...4.3 การสร้างแบบจำลองการออกแบบสื่อการเรียนการสอน
แบบจำลองเชิงนามธรรม เชิงแนวคิด หรือแบบจำลองที่เป็นซอฟต์แวร์ เช่น แบบจำลองคณิตศาสตร์ แบบจำลองวิทยาศาสตร์ แบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทฤษฎีการสร้างแบบจำลอง แบบจำลองความคิด เป็นต้น แบบจำลองเชิงนามธรรม หรือแบบจำลองเชิงแนวคิด เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเชิงทฤษฎีเพื่อแทนกระบวนการเชิงสังคม เชิงชีววิทยา หรือ เชิงฟิสิกส์ ด้วยเซต ของตัวแปรและเซตของความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรเหล่านั้นทั้งเชิงตรรก และ เชิงปริมาณ แบบจำลองจะถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงเหตุผลภายในกรอบงานเชิงตรรกใน อุมดมคติของกระบวนการต่าง ๆ


หน่วยที่ 5 การผลิตสื่อกราฟิก
ความหมายของวัสดุกราฟิกวัสดุกราฟิก ประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ วัสดุ + กราฟิกวัสดุ หมายถึงสิ่งของที่มีอายุการใช้งานระยะสั้นกราฟิก หมายถึงการแสดงด้วยลายเส้นวัสดุกราฟิก หมายถึง วัสดุลายเส้นประกอบด้วย ภาพลายเส้น ตัวอักษร การ์ตูน และสัญลักษณ์ เพื่อเสนอเรื่องราวความรู้ หรือเนื้อหาสาระให้รับรู้และเข้าใจได้ง่ายรวดเร็ว


...5.1 ความหมาย และคุณค่าของสื่อกราฟิก
สื่อกราฟิก หมายถึง การอธิบายด้วยภาพประกอบข้อมูลต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจประเภทของสื่อกราฟิก
1.การออกแบบ สัญลักษณ์ต่างๆ
2.การออกแบบและจัดทำแผนภูมิ แผนภาพ แผนสถิติ
3.การวาดภาพอวัยวะ และระบบต่างๆของร่างกายมนุษย์ ได้แก่ ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ

...5.2 การใช้สีกับสื่อการเรียนการสอน
จุดประสงค์ของการเรียนรู้
1. เพื่อให้รู้ถึงความหมายของสีและการใช้สีในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์
2. เพื่อให้รู้ถึงคุณค่าและความสำคัญของการใช้สีในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์
3.เ พื่อให้รู้ถึงแนวทางในการเลือกใช้ในการสร้างสรรค์งานสื่อสิ่งพิมพ์
4.เ พื่อให้รู้ถึงหลักการพิจารณาในการเลือกใช้สีในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ สีและการใช้สี ความเข้าใจในเรื่องของสีเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้งานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์มีความสดใสสวยงาม น่าสนใจ


...5.3 การเขียนภาพการ์ตูน
การเขียนภาพการ์ตูน สำหรับเด็กนั้นโดยมากมักนิยมเขียนภาพสัตว์ด้วยฝีมือมายา คือจงใจให้ผิดเพี้ยนไปจากของจริงมากมายเกินกว่าปกติ ดูเสมือนว่าเขียนออกมาอย่างหยาบๆ ง่ายๆ แต่ช่างเขียนนั้นเขียนขึ้นโดยความยากลำบากทั้งนั้นทุกรูป แต่เขาจงใจให้มองดูเขียนขึ้นอย่างลวกๆ การให้สีหนังสือเดกมักใช้สีฉูดฉาดบาดตา ภาพการ์ตูนสำหรับเด็กอีกระดับหนึ่ง หมายถึงระดับเด็กอายุ ๑๑ - ๑๖ ปี ระยะนี้การ์ตูนประกอบเรื่องจะต้องมีความปราณีต ขบขัน สวยงาม ตลอดจนกระทั่งฝีมือในการเขียนภาพประกอบจะต้องดีพอ จึงจะสามารถดึงดูดเด็กในวัยนี้ให้สนใจได้ สีสันของภาพประกอบต้องนุ่มนวลมากขึ้น เพราะ


...5.4 การออกแบบตัวอักษรหัวเรื่อง
วิธีการออกแบบตัวอักษรการออกแบบตัวอักษร นักเรียนจะต้องรู้จักกำหนดความสูง ความกว้าง และความยาวของประโยค ตัวอักษรที่จะออกแบบเพื่อให้ได้ตัวอักษรที่เหมาะสมกับเนื้อที่อย่างเหมาะสมวิธีการออกแบบตัวอักษรแบ่งออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้
1. ตีเส้นกำกับบรรทัด (Guide line) คือ การขีดเส้นตามแนวนอน ห่างกันตามความสูงของตัวอักษร เว้นด้านล่าง และด้านบน เหลือไว้พอสมควร เพื่อเขียนสระและวรรณยุกต์ เส้นกำกับบรรทัดนี้ควรขีดให้เบาพอมองเห็น เพื่อใช้เป็นแนวร่างตัวอักษรให้มีขนาดตามต้องการ
2. ตีเส้นร่างตามขนาดและจำนวนตัวอักษร ในการออกแบบตัวอักษรลงบริเวณใด เพื่อความเหมาะสมและสวยงาม จึงควรนับจำนวนตัวอักษรที่จะเขียนทั้งหมด แล้วจึงคำนวณเนื้อที่ทั้งหมดสำหรับบรรจุตัวอักษรลงไป แล้วตีเส้นร่างเบา ๆ ตามขนาดและจำนวนตัวอักษรทั้งหมด
3. การร่างตัวอักษร การร่างควรเขียนด้วยเส้นเบา เพื่อสะดวกต่อการลบ เมื่อเกิดการผิดพลาดหรือเมื่องานเสร็จแล้ว จะได้ลบเส้นที่ไม่ต้องการออกได้ง่ายไม่สกปรก 4. การลงสี เมื่อได้แบบตัวอักษรที่แน่นอนแล้วจึงลงสี หรือหมึก ให้เกิดความสวยงามตามต้องการ


หน่วยที่ 6 การสร้างสื่อราคาเยา
แนวคิดทางการศึกษา ปัจจุบันมุ่งขยายขอบเขตทรัพยากรการเรียนรู้ออกไปทุกแบบ เช่น สื่อเกี่ยวกับบุคคล อาคาร สถานที่ วัสดุ อุปกรณ์ ตลอดจนวิธีการต่าง ๆ ทางการศึกษา เกี่ยวกับวัสดุที่จะใช้เป็นการเรียนการสอนนั้น จึงมิได้จำกัดอยู่เพียง สิ่งที่ทำขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อโดยตรงเท่านั้น แต่วัสดุการสอน หมายถึง


...6.1 ความหมาย คุณค่า และประโยชน์าฟิก ของสื่อราคาเยา
สื่อราคาเยานอกจากจะหมายถึง สื่อที่มีราคาถูกแล้วยังหมายถึงสื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติไม่ต้องซื้อหาด้วยราคาแพง สิ่งที่ครูคิดประดิษฐ์ขึ้นด้วยวัสดุราคาถูก หรือหาได้ง่าย รวมถึงสื่อสิ่งของได้เปล่าจากการแจกจ่ายเผยแพร่ของหน่วยงาน


...6.2 หลักการออกแบบและการสร้างสื่อราคาเยา
ตัวอย่างการเลือกสื่อการสอนที่พบเห็นได้เสมอ เช่นครูสอนคณิตศาสตร์เกี่ยวกับการนับจำนวน การบวก การลบ และต้องการวัสดุเป็นชิ้น ๆ ก้อน ๆ จำนวนหนึ่ง เพื่อให้นักเรียนได้ลงมือนับจำนวน แทนที่ครูจะนึกถึงก้อนดิน หิน หรือวัสดุอื่นอีกมาก ที่หาได้ไม่ยากในท้องถิ่น มาให้นักเรียนนับ แต่ครูกลับนึกถึงก้อนแม่เหล็กเป็นอันดับแรก และพยายามเรียกร้องให้มีการจัดซื้อกระดานแม่เหล็กมาใช้สอนนับจำนวน กรณีเช่นนี้เราได้นับจำนวนก้อนหินดูจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้มากกว่าการนับชิ้นส่วนบนกระดานแม่เหล็กเสียอีก


...6.3 วัสดุกับเทคนิคการออกแบบ
วัสดุการสอน หมายถึงวัสดุทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ครูพึงหามาใช้ประกอบการเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ซึ่งครูผู้สอนส่วนหนึ่งมักจะมองข้ามไป เมื่อนึกถึงวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนสักเรื่องหนึ่ง ก็มักจะนึกถึงเฉพาะสื่อสำเร็จรูป จำพวกรูปภาพ แผนภูมิสไลด์ ที่มีผลิตขายเป็นธุรกิจการค้า ราคาค่อนข้างสูง สิ่งของที่หาได้ง่ายสำหรับการสอนบางเนื้อหา เช่น
...6.4 การประเมินสื่อการสอนราคาเยา
ความจำเป็นด้านเศรษฐกิจของชาติ ในข้อนี้นักศึกษาตลอดถึงครูผู้สอน ผู้บริหารการศึกษาทั้งหลายย่อมทราบและตระหนักกันอยู่แล้วว่าประเทศของเรา เป็นประเทศกำลังพัฒนาหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อการพัฒนาไปเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ต้องกู้เงินจากต่างประเทศปีละมาก ๆ ต้องจ่ายเงินกลับให้ต่างชาติรวมเงินต้นและดอกเบี้ยในแต่ละปีเป็นจำนวนเงินมหาศาล ในด้านการศึกษาเองก็มีโครงการที่กู้เงินจากต่างประเทศมาดำเนินการอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อสภาพการณ์ เป็นเช่นนี้ การพิจารณาจัดหาสื่อหรือ


หน่วยที่ 7 การผลิตสื่อการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์
การผลิตสื่อการสอน e-learningเป็นที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันมีการพูดถึงการพัฒนาระบบ e-learning ในสถาบันการศึกษาเป็นอย่างมาก รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนกับการพัฒนาระบบ e-learning เป็นอย่างมาก และได้มีการพัฒนาในส่วนต่างๆ อย่างรวดเร็วตามการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ท ตัวอย่างที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมก็คือการถือกำเนิดของ มหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย (Thailand cyber university) และการพัฒนาศูนย์กลาง e-learning ของโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศ


...7.1 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
CAI ย่อมาจากคำว่า COMPUTER-ASSISTED หรือ AIDED INSTRUCTIONคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) หมายถึง สื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการนำเสนอสื่อประสมอันได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟิก แผนภูมิ กราฟ วิดีทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน หรือองค์ความรู้ในลักษณะที่ ใกล้เคียงกับการสอนจริงในห้องเรียนมากที่สุด
...7.2 การใช้เครือข่ายเพื่อการเรียนการสอน
การจัดตั้งสมาคม APEC เพื่อการศึกษาทางอินเตอร์เนตตามกระแสการเปลี่ยนสังคมที่ต้องมีความรู้ใหม่เป็นหลักฐานการเรียนรู้เทคโนโลยีและการเก็บความรู้ใหม่จึงเป็นสิ่งที่ เราขาดไม่ได้ สถาบันการศึกษาและครูมีบทบาทมากขึ้นเพราะต้องเตรียมการเรียนการสอนเพื่อส่งนักเรียนให้เข้าทำงาน ในสังคมใหม่ สมาคม APEC เพื่อการศึกษาทางอินเตอร์เนตจัดทำไว้เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าวของนักเรียน และครู

หน่วยที่ 8 การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์
การสร้างสรรค์งานสิ่งพิมพ์ ในรูปแบบต่างๆ ต้องทำความรู้จักกับรายละเอียดเบื้องต้นที่จำเป็นก่อน โดยการบวนการผลิตงานสิ่งพิมพ์จะประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ เช่น การจัดเตรียมไฟล์งาน การจัดการกับรูปภาพ การเลือกกระดาษ การออกแบบรูปลักษณ์ หรือรูปเล่ม การจัดหน้า เพื่อให้ใด้ผลงานตามรูปแบบที่ต้องการ
...8.1 ความหมาย คุณค่า และประโยชน์ของสื่อสิ่งพิมพ์
สื่อสิ่งพิมพ์ หมายถึง สื่อที่ใช้ติดต่อสื่อสารทำความเข้าใจด้วยภาษาเขียน โดยใช้วัสดุกระดาษพิมพ์ได้คราวละมาก ๆ อาจมีรูปแบบแตกต่างกัน เช่น
...8.2 ประเภทของสื่อสิ่งพิมพ์
จำแนกได้กว้าง ๆ ได้ 4 กลุ่มใหญ่ คือ
1. หนังสือพิมพ์
2. นิตยสารและวารสาร
3. หนังสือเล่ม
4. สิ่งพิมพ์เฉพาะกิจ
...8.3 ระบบการพิมพ์
ระบบออฟเซ็ตระบบออฟเซ็ต เป็นระบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด สมุดหนังสือ ใบปลิว โปสเตอร์ ใบเสร็จ ล้วนแต่พิมพ์ด้วยระบบนี้ทั้งนั้น เพราะพิมพ์ได้สวยงาม พิมพ์ภาพได้ดี พิมพ์สี่สีก็สวย เหมาะสำหรับงานที่ยอดพิมพ์สูงๆ ควรจะหลายพันหรือเป็นหมื่นขึ้นไปจึงจะคุ้ม เพราะแม่พิมพ์มีราคาแพง พิมพ์สิบใบก็ได้ แต่ราคาต่อใบจะสูงมาก
...8.4 การเลือกและการใช้สื่อสิ่งพิมพ์เพื่อการเรียนการสอน
การพิมพ์จึงเป็นวิธีการหนึ่งในการนำมาใช้ผลิตสำเนาเอกสารทางวิชาการซึ่งต้องการปริมาณมาก เช่น หนังสือ ตำราต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน หรือเพื่อใช้เป็นคู่มือ เป็นตำราในการค้นคว้าอ้างอิง ทั้งยังช่วยในการเผยแพร่ ความคิดทางด้าน วิทยาการต่าง ๆ ให้เจริญก้าวหน้าอีกด้วย ในการให้การศึกษาจำเป็นต้องมีเอกสารประกอบการเรียนการสอน

ความภาคภูมิใจที่ทำได้



เป็นภาพวาดด้วยปากกาสีดำโดยที่ไม่ต้องเขียนดินสอร่างก่อน คือ ลงมือเขียนเลยไม่มีการลบและก็การระบายสีสามสีต่อสัตว์หรือต้นไม้ ด้วยวรรณะของสีให้สมดุลกัน ภาพนี้เป็นภาพสัตว์นานาอยู่ในป่าที่มีต้นไม้มากมายอุดมสมบูรณ์



การเขียนลายเส้นทั้ง 4 รูปแบบดังนี้





1. การใช้เส้นตรง

-แสดงให้เห็นถึงความมั่นคง แน่นอน แข็งแรง บึกบึน

2. การใช้เส้นโค้ง

-แสดงให้เห็นถึงความรัก อ่อนโยน นุ่มนวล ละเอียดอ่อน

3. การเส้นซิกแซก

-แสดงให้เห็นถึงความสับสน หน้ากลัว หวาดเสียว

4. การใช้เส้นปะ

-แสดงให้เห็นถึงความสงสัย ไม่แน่นอน อ่อนแอ ไม่เป็นทางการณ์

นิทานเรื่องอึ่งอ่างกับวัว

เป็นการวาดนิทานเรื่อง อึ่งอ่างกับวัว วาดด้วยปากกาสีดำเหมือนกัน ลงสี3สี เช่นกัน ในภาพแม่อึ่งอ่างทำตัวโตให้ลูกอึ่งอ่างดู ลูกอึ่งอ่างส่ายหัวแล้วพูดว่า "มันตัวโตกว่านี้อีกจ๊ะ" "ตัวโตกว่านี้ใช่ไหมลูก" แม่อึ่งอ่างถามอีก ขณะเดียวกันมันก็พองตัวออกไปอีก

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น แล้วแม่อึ่งอ่างก็ล้มลงไป เพราะท้องแตกตาย

อึ่งอ่างกับวัวก็จบลง นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าทำสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้

ความคิดในการทำเว็บ

เมื่อคิดจะทำเว็บ



การทำเว็บมีประโยชน์ต่อธุรกิจหรือส่วนตัวเป็นอย่างมาก แต่ในเมืองไทยร้านค้าหรือบุคคลมีเว็บไม่มาก ในต่างประเทศแล้วเกือบทุกคนมีเว็บ หากดูในใบสมัครงาน หรือเอกสารต่างๆ นอกจากจะมีช่องให้กรอก ชื่อ และที่อยู่จะมีช่องให้กรอกเว็บไซค์ส่วนตัวด้วย
คนไทยไม่ทำเว็บเนื่องจากกลัวว่าจะแพง หรือจะยาก ซึ่งอาจเป็นจริงในสมัยก่อน ในยุคนี้แล้วด้วยประสพการณ์จริงแล้วการทำเว็บไม่แพง และไม่ยาก อยากแบ่งปันความรู้และช่วยท่านให้ทำเว็บเช่นเดียวกับที่ผมทำอยู่ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
เพื่อนทำใบปลิวเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าราคา 8 บาทต่อใบ และจ้างคนแจก รวมๆแล้วไม่ต่ำกว่า 10 บาทต่อการทำให้ผู้คนเห็นสินค้าหนึ่งคน แต่คนที่เห็นก็อาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลัก ทำให้สูญเสียเงินจำนวนมากกับคนที่ไม่ใช่ลูกค้า
หากทำเว็บแล้วจ้าง Google ให้โฆษณาให้ เขาจะเสียเงินเพียง 2 บาทต่อลูกค้าหนึ่งคน ซึ่งเป็นลูกค้าที่มีความต้องการสินค้านั้นเท่านั้น เพราะเมื่อลูกค้าหาสินค้าใน Google เขาจะเห็นสิงค้าหรือบริการของเรา และหากเขาดูแล้วไม่สนใจเราไม่ต้องเสียเงิน หากเขาสนใจและคลิกเพื่อเข้ามาดูรายละเอียดในเว็บไซร์ของเรา เราจึงจะเสียเงิน 2 บาท(0.05 USD)ให้ Google ซึ่งเราสามารถให้รายละเอียดสิงค้าและบริการได้ชัดเจน และจุใจ ตลอดจนให้ราคาและสั่งซื้อได้เลย เว็บจึงเป็นการเพิ่มช่องทางขายที่มีประสิทธิภาพราคาถูกมากกว่าโฆษณาทุกประเภท
การทำเว็บสมัยก่อนคุณต้องจ้างคนทำเนื่องจากเครื่องมือสมัยนั้นใช้งานยาก ในปัจจุบันนี้เครื่องมือต่างๆใช้งานง่ายขึ้นจนคุณ หรือลูกคุณ หรือลูกน้องคุณสามารถทำเว็บได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเสียเงินจ้างคนอื่นให้เสียเงิน และเพิ่มความยุ่งยากในการติดต่อ เพียงแต่ต้องเสียเวลาในการศึกษาเบื้องต้น 4-8 ชั่วโมง โดยเราได้จัดเตรียมการสอนบนเว็บไว้ให้หลายรูปแบบ ทั้งเป็นหน้าเว็บ เป็น VDO ตลอดจนให้คำปรึกษาและซักถามได้แบบตัวต่อตัว ไม่ต้องกลัวว่าไม่มีพื้นฐานจะทำไม่ได้ และไม่ต้องกลัวว่าจะแพง ค่าใช้จ่ายในการทำเว็บคุณเพียงต้องเช่า Host ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายเดือนราวๆ 100-300 บาท และเสียค่า Domain Name ราวปีละ 350 บาท ส่วนค่าทำไม่ต้องเสียทำเองได้ไม่ยาก

ทำเว็บฟรี มีจริงๆ
การทำเว็บแบบฟรีๆ
การทำเว็บมีทั้งแบบเสียเงินมากๆ จนไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว จะทำแค่ Intranet ใช้เงินลงทุนไปเกือบล้านบาทกับโปรแกรมทำเว็บ เรื่องของคนมีเงิน คนทั่วไปทำเว็บต้องเสียเงินค่าจ้างทำเว็บ เสียเงินเป็นหมื่น และยังเสียเงินค่า Domain Name และเสียเงินค่าเช่า Host และยังเสียเงินค่าดูรักษาอีกต่างหาก สำหรับไม่เสียค่าจ้างทำเว็บ แต่ก็ยังเสียเงินค่า เช่า Host เดือนละ 300 บาท และค่า Domain Name อีกปีละ 450 บาท แต่วันนี้ผมจะมาเสนอวีธีทำเว็บที่ฟรีทุกๆอย่าง ตั้งแต่ ค่าทำเว็บ ค่า Domain Name จนถึง Host เริ่มจากค่าจ้างทำเว็บ ท่านสามารถประหยัดได้หากมีพนักงาน หรือ ลูกของท่าน หรือตัวท่านเอง ที่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์เล็กๆน้อย เช่น พอท่อง Internet เป็น ใช้ MSN ได้ และ รู้จักวิธีส่ง Email ท่านก็มีคุณสมบัติในการทำเว็บแล้วเพราะ โปรแกรมที่ช่วยทำเว็บสมัยนี้ใช้งานง่ายมากทาง http://www.nolkek.com/ ก็สนับสนุนการทำเว็บด้วยตัวเอง โดยการสอนและให้คำปรึกษา หากท่านอ่านบทความในเว็บนี้ ดู VDO สาธิต และทดลองทำตามโดยเรามีเว็บให้ท่านหัดทำเองฟรีๆ ท่านก็จะได้เห็นด้วยตัวเองว่าการทำเว็บไม่ใช่เรื่องยาก และจะได้เว็บที่ทำด้วยมือตัวเอง ไม่ต้องจ้างใคร ดูแลเว็บได้ด้วยตัวเอง นอกจากทำเว็บฟรีเองฟรีแล้วเดี๋ยวนี้มี Domain Name แจกฟรีด้วย แต่ไม่ใช่ .COM หรือ .CO.TH มันเป็น .CO.NR ก็ทดลองใช้ทำเว็บ http://www.noklek.co.nr/ หากสนใจลองคลิกเข้าไปดู จะอธิบายรายละเอียดไว้ หากไม่พอใจยังมีอีกหลายที่ เช่น http://www.global.net.uk/domain-name.asp ฯลฯ ซึ่งค้นได้ทาง Google นะ เรื่อง Host ก็มีฟรี และเยอะด้วย ยกตัวอย่างเช่น http://www.110mb.com/ นอกจากนั้น หากไม่พอใจหาได้ใน http://www.find-hosting.net/ มีให้เลือกเพียบ
ผู้ให้บริการบางแห่งหากเราเช่า Host กับเขา จะให้ Domain Name ฟรี เนื่องจากค่า Host แพงกว่า Domain Name มาก แต่ตอนนี้มีผู้ให้บริการบางราย ให้ Host ฟรีหากซื้อ Domain Name กับเขา เท่ากับเราเสียค่า Domain Name วันละบาท แต่ได้ Host ฟรี ซื้อ Domain Name กับ http://www.godaddy.com/ เขาแถม Hosting ฟรีขนาด 5 GB หากเช่าในไทยขนาด 5 GB อาจเป็นพันบาทต่อเดือน และ มีบริการลงโปรแกรมพวกฟรี CMS เช่น Dotnetnuke, Joomla ฯลฯ ฝ่านทาง Control Pannel แค่คลิกสองสามครั้งก็ลงเสร็จ ไม่ต้องปวดหัวกับการลงโปรแกรม จะลงแล้วลบทิ้งกี่รอบก็ได้ เสียอย่างเดียวมีโฆษณาที่หัว และมีบอกว่าเป็น Free Host จาก Godaddy นอกจากนั้นก็มี http://www.pureportals.com/ ต้องลองเองนะครับ ผมเองก็ยังไม่เคยลอง
ข้อควรระวังเกี่ยวกับของฟรีเหล่านี้คือ เขามักมีเงื่อนไขในการให้บริการ ที่เป็นภาระของเราเช่น ให้ดูโฆษณา หรือบางที่ก็หยุดให้บริการไปเฉยๆเมื่อไหร่ก็ได้เพราะเขาอาจไม่มีรายได้จึงอาจไม่มีเงินพอดำเนินการ ต้องอ่านเงื่อนไขให้ละเอียดนะครับก่อนใช้บริการ


ขั้นตอนการทำเว็บ

ใช้เทคโนโลยี CMS ทำให้การทำเว็บเป็นเรื่องง่าย และรวดเร็ว โดยมีขั้นตอนต่อไปนี้
- ศึกษาวีธีใช้ Dotnetnuke ในเว็บซึ่งมีทั้งเป็นหนังสือ เป็นเว็บ และเป็น VDO
- ทดลองทำจริงด้วยเว็บที่มีให้ทดลองทำ
- หากมีคำถามก็ติดต่อสอบถามได้หลายทาง เช่น Feed Back ฯลฯ
- เมื่อมีความมั่นใจแล้วก็หา Domain Name และ Host เพื่อสร้างเว็บจริง


ความรู้ที่จำเป็น
เนื่องจากการปรึกษาหารือและการสอนเป็นการดำเนินการทางไกล เราจะเริ่มจากการปูพื้นฐานให้คุณมีความรู้เรื่องเครื่องมือสื่อสารและการสอนทางไกล ดังต่อไปนี้

สามารถใช้ Browser ได้
สามารถใช้ Email ได้
สามารถใช้ MSN ได้
สามารถใช้ Team Talk ได้
สามารถใช้ Skype ได้(ไม่จำเป็น)
สามารถใช้ SkyFex ได้ (ไม่จำเป็น)

ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำการสอนให้ เพื่อเป็นกุญแจไขสู่ความรู้อื่นๆและการ Support ทางไกล
ตอนนี้ยังไม่รู้ไม่เป็นไร ขอมันเรียนกันได้ไม่ยาก
กำลังจะเตรียมคู่มือการสอนทางไกลสำหรับเรื่องเหล่านั้นอยู่





จากคำถามที่ว่า "เราจะนำมัลติมีเดียมาช่วยพัฒนาเว็บไซท์ได้อย่างไร" เว็บไซท์เป็นส่วนหนึ่งของมัลติมีเดียอยู่แล้ว มัลติมีเดียไม่ได้มีความหมายมากกว่าแค่ตัว "มีเดีย" หรือรูป เสียง ภาพเคลื่อนไหว เท่านั้น อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ เข้าใจกัน แต่ยังรวมถึงวิธีการเก็บรักษา การเรียกค้นและการนำเสนอด้วย ดังนั้นเว็บไซท์ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการนำเสนอชนิดหนึ่ง เว็บไซท์จึงรวมเป็นส่วนประกอบของมัลติมีเดียด้วย แล้วทำอย่างไรเว็บไซท์ที่มีข้อความเป็นส่วนใหญ่ จะมีความน่าสนใจ เพิ่มขึ้นด้วยเทคโนโลยีของมัลติมีเดียในปัจจุบัน"
องค์ประกอบของเว็บไซท์ที่น่าสนใจ
พวกเราลองเข้าไปดูเว็บไซท์ประเภท "ชื่อดัง" "ยักษ์ใหญ่" หรือ "ทุนหนา" แล้ว เราจะพบว่า องค์ประกอบสู่ความสำเร็จ ขั้นพื้นฐานซึ่งจำเป็นต้องมีจะเหมือนกัน ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 2 หัวข้อย่อยคือ
1. ความสมบูรณ์ของเว็บไซท์
2. วิธีการนำเสนอข้อมูล
1. ความสมบูรณ์ของเว็บไซท์
ก่อนอื่น ปัญหาที่หนึ่งสำหรับเว็บมาสเตอร์คือ "ผู้ใช้จะได้ประโยชน์อันใดในการเข้ามาเยี่ยมเว็บของเรา" จึงจะนำมาสู่ปัญหา ที่สองคือ "เรามีสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการอยู่หรือเปล่า" สองคำถามนี้เป็นสองคำถามหลัก ก่อนที่เราจะต้องไปนึกถึงว่าจะใช้ระบบ ปฏิบัติการเป็น Linux หรือ Windows 2000 หรือจะใช้อะไรดีระหว่าง Dreamweaver หรือ FrontPage ซึ่งน่าจะเป็นประเด็น เกือบจะท้าย ๆ แล้วสำหรับการสร้างเว็บไซท์ แต่ผู้เริ่มต้นส่วนใหญ่มักพิจารณาส่วนนี้เป็นประเด็นแรก
เว็บไซท์ที่สมบูรณ์ประกอบด้วยสองส่วนหลักคือ ข้อมูล และเครื่องมือ โดยทั่วไปการอ่านข้อมูลของผู้ใช้มีสองลักษณะ คือผู้ใช้อ่านข้อมูลที่เขาต้องการอ่าน กับผู้ใช้อ่านข้อมูลที่เราต้องการให้อ่าน การอ่านของผู้ใช้แบบแรกเป็นการที่ผู้ใช้เป็น ผู้สืบค้นข้อมูลเอง เพื่อจะได้ข้อมูลที่ต้องการนั้นไปประกอบการงานอื่น ๆ เช่น การสืบค้นข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัด ต่าง ๆ ส่วนแบบที่สองเป็นการเสนอเชิงประชาสัมพันธ์หรือข่าว เช่น การประกาศ การวางตลาดของสินค้าใหม่ ทั้งสองแบบ ของการอ่านมีลักษณะสุดท้ายเหมือนกันคือผู้ใช้ได้อ่าน
ขอยกตัวอย่างชนิดของข้อมูลทั้งสองอย่างข้างต้นด้วยเว็บไซท์ของบริษัทนำเที่ยว ข้อมูลที่ผู้ใช้อ่านอาจเป็นรายละเอียด การท่องเที่ยวพอสังเขป ส่วนข้อมูลที่เขาอยากให้ผู้ใช้อ่านคือโปรแกรมการท่องเที่ยวและรายละเอียดอื่น ๆ ของบริษัท ถามว่าถ้ามองในกรณีนี้ความพร้อมของข้อมูลควรเป็นอย่างไรถึงจะเรียกว่าพร้อม ในกรณีนี้เราคงไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก เพียงแนะนำสถานที่ต่าง ๆ พอสังเขปก็พอ การใส่ข้อมูลโดยละเอียดอาจนำไปสู่ "ความไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น" ในสถานที่ท้องเที่ยวที่เรานำเสนอ และอาจพาลไม่อยากเที่ยว แต่เราควรเสนอความพร้อม ในการบริการของบริษัทของเราว่าเป็นบริษัทที่มั่นคง ดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลานานมีบริการต่าง ๆ ครบวงจร มีโปรแกรม ในการท่องเที่ยวให้เลือกมากมาย เพราะผู้ใช้บริการทัวร์คงไม่มีรายใดที่ต้องการให้บริษัททัวร์เอาไปปล่อยเกาะ
สิ่งที่ต้องการกล่าวถึงในที่นี้ก็คือข้อมูลที่พร้อมจะต้องเป็นข้อมูลที่นำเสนอความพร้อมของ "สินค้า" และ "บริการ" ของ บริษัท ไม่ว่าจะทำกิจการใด ๆ ความพร้อมของข้อมูลจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนบริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่เป็น ข้อมูลที่พร้อมแสดงศักยภาพของสินค้าของบริษัทเรามากกว่า
ทีนี้ผู้อ่านคงนึกถึงเว็บไซท์ไม่มีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเองจะทำอย่างไรคำตอบก็คือ ไม่มีเว็บไซท์ใดที่ไม่มีผลิตภัณฑ์เป็น ของตนเอง แม้กระทั่งเว็บไซท์บุคคล ผลิตภัณฑ์ในที่นี้รวมเรื่องของบริการเข้าไปด้วย เว็บไซท์อย่าง Yahoo ซึ่งไม่มีสินค้า ยี่ห้อ Yahoo มาวางตลาด แต่เขาขายบริการในการทำ Catalog เพื่อให้บริษัทอื่น ๆ มาลงโฆษณา เว็บไซท์ข้อมูล ส่วนตัวของคุณ สินค้าก็คือตัวคุณเองนั่นแหละ (ถ้าไม่ใช้ โฆษณาทำไม)
จากสองประโยคคำถามข้างต้นที่เราใช้ในการตั้งสมมติฐานที่ว่า "ผู้ใช้จะได้ประโยชน์อะไร" เราคงต้องการมาที่ข้อสรุป นิดนึงโดยการเปลี่ยนประโยคคำถามข้างต้นเสียใหม่เป็น "ผู้ใช้ได้ประโยชน์อะไรจากเว็บไซท์ของเรา" จากนั้นคิดต่อไป เรื่อย ๆ เราก็จะได้ข้อสรุปที่เราต้องการก็คือข้อมูลจะพร้อมต้องมีอะไรบ้างนั่นเอง ปรัชญาการคิดแบบนี้จะนำเราไปสู่ การมีข้อมูลที่พร้อมต่อการนำเสนอของเว็บไซท์ของเรา อย่างไรก็ตาม การใคร่ครวญคิดไม่ใช่เรื่องง่าย และใช้เวลา ขอแนะนำให้ไปดูเว็บไซท์ที่ทำธุรกิจแบบเดียวกันกับของเราแล้วนำมาพินิจพิเคราะห์ดูว่า ข้อมูลที่เรามีเหมาะสมหรือไม่ เมื่อดูจากหลาย ๆ ที่ก็นำมาประมวลดูว่าเว็บของเรามีหรือไม่มีอะไร และอะไรบ้างที่ควรจะเพิ่มเติม สุดท้ายเว็บไซท์ ของคุณก็จะเป็นเว็บที่น่าอ่าน และก็จะได้ไม่ต้องติดป้าย "Under Construction" อันน่าเบื่อไว้ด้วย
ส่วนที่สองของความพร้อมของเว็บไซท์คือ "เครื่องมือ" ที่มีให้ หลังจากที่เรามีข้อมูลแล้ว เราก็เหมือนมีหนังสือที่ไม่มี เลขหน้า ไม่มีสารบัญ ทำให้ยากต่อการเข้าถึงข้อมูล สิ่งที่ควรมีอย่างยิ่งในเว็บไซท์ก็คือ การนำไปสู่ข้อมูลอันประกอบ ด้วยสารบัญซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของเมนูหรือแคตาล็อก หรือแบบอื่น ๆ ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านหัวข้อหลัก ไปยังหัวข้อย่อย ๆ หรือตัวสืบค้น (Search Engine) สำหรับสืบค้นข้อมูลตามคำเรียกค้นของผู้ใช้ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเว็บไซท์ที่มีข้อมูลขนาดใหญ่มาก ทั้งสองตัวนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซท์
นอกจากนี้เครื่องมือตัวอื่น ๆ ที่มีความสำคัญรอง ๆ ลงไปหรืออาจจำเป็นสำหรับบางเว็บไซท์ที่เราควรพิจารณาได้แก่ กระดานข่าว (Web board) กระดานข่าวนี้มีทั้งประโยชน์และปัญหา ประโยชน์คือเป็นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกขององค์กรนั้น ๆ ปัญหาคือข้อมูลบนเว็บบอร์ดมีความเชื่อถือได้น้อย เนื่องจากยากที่จะระบุได้ว่าใครเป็นผู้ใช้ ข้อความบนกระดาน ขอเสนอว่าควรมี 2 กระดาน โดยกระดานหนึ่งเป็นกระดานอิสระ อีกกระดานเป็นกระดานที่มีการกรอง ข้อความ (กรองนะ ไม่ใช่เซ็นเซอร์) อย่างที่สองที่ควรพิจารณาคือ Web Mail คือเว็บแบบเดียวกับ Hotmail แต่ทำ เฉพาะองค์กรของเราเท่านั้น ข้อดีคือเราสามารถควบคุมความปลอดภัยในการเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานให้ดี ขึ้น (จะกล่าวถึงเมื่อมีโอกาส ) อย่างที่สามคือการรับสมัคร mailing list เพื่อรับสมัครสมาชิกเพื่อแจ้งข่าวสารความ เคลื่อนไหวเฉพาะเรื่อง อย่างสุดท้ายคือ Download เนื่องจากผู้ใช้ชอบโหลดโปรแกรมฟรีหรือโปรแกรมที่จำเป็น ของหน่วยงานไปใช้ ก็น่าจะมีบางอย่างที่เราให้ผู้ใช้ของเรารู้สึกว่าเว็บของเราเป็นมิตรที่ดี มีของฟรีได้ใช้ สังเกตดูซิ เว็บไซท์ไหน ๆ ก็มีให้โหลดทั้งนั้น
สรุปกว้าง ๆ ก็คือ เมื่อจะต้องสร้างเวํบ ต้องถามและตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ได้ประโยชน์อันใดแก่องค์กรของเรา จากนั้น ก็หาข้อมูลและเครื่องมือที่เหมาะสมมาทำให้เว็บไซท์ของเราสมบูรณ์
2. วิธีการนำเสนอข้อมูล
การนำเสนอข้อมูลบนเว็บนี้ที่จริงเป็นเรื่องต่อเนื่องมาจากข้อแรกที่จะหาข้อมูลที่เหมาะสมมาใส่ไว้บนเว็บ อย่างแรกที่สุด คือสิ่งที่เว็บในเมืองไทยนำไปใช้น้อยไปหน่อย นั่นคือ Hypertext คือจริง ๆ การใช้เว็บนี้ก็เป็น Hypertext อยู่แล้ว แต่ เราใช้น้อยเกินไป ขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับข่าวกีฬา สมมติว่าเป็นเรื่องผลการแข่งขันฟุตบอลระหว่างแมนยูกับลิเวอร์พูล ในเนื้อข่าวก็คงมีการเอ่ยชื่อถึง เดวิด เบ็คแฮม ไมเคิล โอเว่น ทีมแมนยู และทีมลิเวอร์พูล ในเนื้อความของข่าว ผู้อ่าน ทั่วไปคงรู้ประวัติของนักเตะชื่อดังทั้งสองเป็นอย่างดี แต่ถ้าในเนื้อข่าวมี Link จากชื่อของนักเตะไปยังโฮมเพจเพิ่มขึ้น หรือถ้าเป็นกีฬาบาสเกตบอล ขอให้ลองเปิดเว็บไซท์ของ NBA (www.nba.com) ซึ่งเป็นเว็บที่จัดได้ว่าเป็นเว็บที่สมบูรณ์ และทันการณ์ในการนำเสนอข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็น "Fact" หรือข้อมูลพื้นฐาน เช่น ประวัตินักกีฬา หรือประวัติทีม ข้อมูลที่เป็นสถิติ เช่น ความสามารถในการทำคะแนนของนักกีฬา และผลการแข่งขัน รวมทั้งข้อมูลที่เป็นสถิติ เช่น ความสามารถในการทำคะแนนของนักกีฬา และผลการแข่งขัน รวมทั้งข้อมูล "on-line" สำหรับรายงานผลการแข่งขัน และสถิติโดยละเอียดของการแข่งขัน ต้องลองดูตัวอย่างช่วงที่มีการแข่งขันนะ จะเป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับเว็บ เกี่ยวกับกีฬา (ข้อมูลการแข่งขันของ NBA มีมากพอที่จะนำมาใช้วางแผนการเล่นได้เป็นอย่างดี โดยมีข่าวเมื่อ 2-3 ปีนี้ว่า มีการใช้เทคนิคของ DataMining มาใช้ในการช่วยวางแผนการเล่นแบบ real-time เช่น กรณีการเลือกตัวผู้เล่นที่เหมาะสม หลังจากดูแล้วว่าผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามมีใครในสนามแข่ง และแต้มคะแนนตามอยู่เท่าไร)
นอกเรื่องไปเยอะ กลับมาเรื่อง Hypertext ดีกว่า หลักการของการทำมีดังนี้
การอ้างอิงการ Hypertext จะไม่ทำกับทุกที่ในหน้าเดียวกัน แต่จะทำใส่ลิงก์เฉพาะที่ตำแหน่งแรกเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าในข่าวหนึ่งชิ้นอ้างอิง เดวิด เบ็คแฮม 10 ครั้ง ให้ใส่ลิงก์เฉพาะที่ตำแหน่งแรกที่ปรากฎในข่าวนั้น ที่เดียวพอ
ถ้าลิงก์ที่จัดหมู่รวมกันได้ควรจัดหมู่ไว้ด้วย และควรลิงก์ไปหาหมู่ที่จัดตัวอย่างเช่น ลิงก์เข้ามาที่เพจของเบ็คแฮม เพจที่จัดหมู่ก็คือเพจรายชื่อผู้เล่นของทีมแมนยูนั่นเอง ดังนั้นเราก็ควรมีลิงก์ย้อนกลับไปจากเพจของนักกีฬาไปหาสังกัด ด้วย
"ลิงก์ย้อนกลับ" อันนี้ไม่ใช่ลิงก์ที่มีความหมายเดียวกันปุ่ม "Back" ในเบราเซอร์นะ แค่เป็นลิงก์ย้อนกลับเชิง "อรรถาธิบาย" เช่น เพจของนักกีฬา ลิงก์ย้อนกลับไปก็คือทีมต้นสังกัด และเพจของทีมต้นสังกัดก็จะย้อนกลับไปหาองค์กร จัดการแข่งขัน
นี่ก็คือเล็ก ๆ ในการใช้ Hypertext ก็ทำให้เว็บเราน่าสนใจขึ้น ลองคิดดูนะ ถ้านักข่าวเมืองไทยรายงานข่าวเกี่ยวกับ ประเทศอิสลาเอลกับปาเลสไตน์ ในเนื้อข่าวมีลิงก์มาแสดงว่าประเทศอิสลาเอลและปาเลสไตน์อยู่ตรงไหนของโลก หรือลิงก์ที่แสดงรูปของนายยัสเซอร์ อาราฟัต น่าสนใจกว่าข่าวที่มีตัวอักษรไม่กี่บรรทัดนะ ขอแนะนำเพิ่มเติมว่า รายละเอียดส่วนนี้ควรจะทำเอง ไม่ใช่ไปหาเว็บคนอื่น เพราะจะเสียลูกค้านะ
ทีนี้ส่วน "ปลีกย่อย" ในการนำเสนอคือ เรื่องที่ทำยากแต่ดูเท่ห์ทั้งหลายคือเรื่องการใช้กราฟิก รูปภาพ ระบบเสียง แสง วิดีโอที่เป็นแบบทั้ง off-line และ on-line ที่พูดว่าปลีกย่อยเพราะส่วนนี้มักจะเป็นส่วนที่ตกแต่งให้ดูงดงาม ขอแนะนำ ว่าอย่าทำบ่อย แต่ควรทำให้เป็นเอกลักษณ์ ยกตัวอย่างเช่น เพจของ Yahoo ก็ใช้กราฟิกนิดเดียว และรูปแบบในเพจแรก เปลี่ยนแปลงจากสมัยก่อนน้อยมาก และจริง ๆ ก็ไม่ค่อยใช้กราฟิกเยอะด้วย (คาดว่าต้องการลดความต้องการของกำลัง จากเครื่อง server) ทีนี้ถ้าใช้กราฟิก ควรใช้นามสกุล JPG และ PNG เท่านั้น เพราะ GIF ต้องเสียเงิน
สรุปง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่จำเป็นอย่าใช้กราฟิกมาก เพราะนึงถึงว่าลูกค้าเรามีเครื่องเก่า ๆ เยอะแยะ ทำสวยมากแล้วเขาใช้ ไม่สะดวกก็เลยไม่อยากเข้าเว็บของเรา เราก็จะเสียโอกาสขายของเท่านั้น
สุดท้าย off-line และ on-line Stream สำหรับเสียงและภาพยนตร์ เริ่มต้นต้องพิจารณาก่อนว่า จำเป็นต้อง on-line หรือไม่ ถ้าทำรายการวิทยุก็คงจำเป็นต้อง on-line เพราะข้อมูลมาใหม่ตลอดเวลา อย่างเช่นเว็บของ Atime media (www.atimemedia.com) อย่างไรก็ตาม การลงทุนสำหรับเว็บลักษณะนี้สูงมาก เพราะถ้าใช้เครื่องขนาดเล็กอาจจะ สามารถรับสมาชิกฟังรายการพร้อมกันได้จำนวนน้อย
ถ้าเป็นเว็บเกี่ยวกับ Stream เหมือนกันแต่ไม่จำเป็นต้องฟังแบบ on-line เช่น รายการบรรยายธรรมของท่านพุทธทาส หรือหลวงพ่อปัญญา จะฟังแบบ on-line มันแพง เช่น ค่าอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้ ฟังไม่กี่ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายเท่ากับซีดี ต้นฉบับแล้ว ลักษณะนี้ควรมีทั้ง on-line และ off-line เพื่อคนไทยที่อยู่ต่างประเทศเขาใช้อินเทอร์เน็ตถูก ๆ และหาซื้อ ซีดีไม่ได้จะได้ฟังบ้าง เว็บในเมืองไทยทำ on-line Stream ตอนนี้คงลำบาก เพราะผู้ใช้มีทางเลือกที่ดีกว่าคือเปิดทีวีและ วิทยุฟังเลย ค่าไฟก็ถูกกว่าคอมพิวเตอร์แถมไม่เสียค่าอินเทอร์เน็ต ประโยชน์คงมีเพื่อสร้าง "ภาพลักษณ์" ของบริษัท หรือลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศเท่านั้น ส่งท้ายผู้อ่านคงพอได้แนวคิดในการออกแบบเว็บไซท์ให้ดูดีขึ้นนะ โดยสรุปหลักก็คือ "เราจะได้อย่างไร" และ "ผู้ใช้จะได้ อะไร" เราก็จะสรุปได้เอง ว่า เราจะได้เว็บไซท์ออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร โดยสิ่งที่พิจารณาอย่างแรกคือข้อมูลที่มี เป็นประการสำคัญ จากนั้นก็ค่อยคิดถึงวิธีการนำเสนอ อย่าคิดข้ามขั้นตอนหรือย่อขั้นตอนโดยเริ่มจากเทคโนโลยี มาก่อน เพราะสุดท้ายผลลัพธ์อาจจะผิดจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ตอนแรก



ลักษณะทั่วไปของเอกสารที่ใช้เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต
การเผยแพร่ทาวอินเตอร์เน็ตนั้นจะใช้ภาษาที่เรียกว่า Html หรือเรียกว่า Hyper Text Mark up Language
การสร้างเว็บเพจนั้นสามารถสร้างได้โดยหลายโปรแกรมแต่ในที่นี้เพื่อง่ายต่อการใช้จะขอแนะนำการสร้างโดยใช้โปรแกรม Microsoft Frontpage
และเมื่อตกลงจะใช้โปรแกรมใดแล้วต่อไปก็ต้องหาพื้นที่สร้างโฮมเพจ(web hosting)เมื่อรู้เกี่ยวกับwebpage



การสร้างเว็บเพจโดยใช้โปรแกรมMicrosoft Frontpageนั้นจะสามารถสร้างได้ง่ายเหมือนการทำงานโดยโปรแกรมการพิมพ์ทั่วไปเพราะตัวโปรแกรมจะดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการเขียนภาษาHtmlให้เรียบร้อยแล้ว
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเขียนเว็บเพจ
1.เราสามารถเขียนเว็บเพจเหมือนกับการพิมพ์งานได้แต่ควรจะรูปแบบเนื้อหาให้เหมาะสม
2.การเปลี่ยนสีพื้นหลังหรือนำรูปมาใส่สามารถหรือจัดการสิ่งต่างๆในหน้าเว็บทำได้โดยที่
- คลิ้กขวาแล้วเลือก Page properties แล้วเลือกสิ่งที่ต้องการจะทำ
3. เราจะต้องเซ็ตข้อมูลของเว็บเพื่อที่จะได้มีคนค้นหาแล้วเข้ามาดูโดยที่ใช้การ
-คลิ้กขวาแล้วเลือก Page properties แล้วเลือกcustomsแล้วมาที่ user variablesแล้วกดaddแล้วใส่ description กับ keywordsที่เราต้องการที่จะให้เป็น
4.การใส่รูปลงไปจะช่วยให้เว็บสวยงามยิ่งขึ้นแต่ไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไปเพราะจะทำให้คนเข้ามาดูเสียเวลาในการรอนาน
5.เมื่อเราต้องการที่จะเชื่อมโยงสิ่งต่างๆเข้ามาอยู่ด้วยกันเราจะใช้การHyperlinkเป็นการโยงไปหาสิ่งต่างๆซึ่งเราจะทำโดย
- เลือกสิ่งที่เราต้องการจะใช้เป็นตัวนำไปสู่สิ่งที่เราต้องการแล้วคลิ้กขวาแล้วเลือก Hyperlinkแล้วเลือกสิ่งที่เราต้องการจะไปหา



การ Uploadเว็บเพจนั้นโดยปกติจะใช้โปรแกรมในกลุ่ม Ftpซึ่งในที่นี้จะใช้โปรแกรม
WS_FTPโดยการที่
1. เปิดโปรแกรมQuick connectโดยต้องกรอกข้อมูลให้แก่FTP SERVERที่เราจะเข้าไปคือ
-hostname
-password
-user ID
2.เมื่อเข้าไปแล้วก็ให้เลือกไฟล์แล้วกดUPLOAD ถ้าต้องการเอาออกก็กดDOWNLOAD
3.ต้องนำไฟล์ขึ้นไปให้หมดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นไฟล์ตัวอักษรหรือไฟล์รูปภาพ





วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2550

การทำธุระกิจบนเครือข่าย



เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสาร ทำให้วิธีการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไปมาก การดำเนินธุรกิจสมัยใหม่ ต้องใช้เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อความคล่องตัวและรวดเร็ว จนในปัจจุบันมีผู้กล่าวถึงวิธีการดำเนินธุรกิจที่ความเร็วแสง (CALS-Commercial at Light Speed) หรือระบบธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การทำธุรกิจที่ความเร็วแสง
"แสง" เดินทางได้ด้วยความเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้ในระบบสื่อสารทั่วไปก็มีความเร็วเท่ากับแสง เราพูดโทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศใช้ความเร็วเท่ากับแสง สัญญาณสื่อสารอาจผ่านไปบนเส้นลวดตัวนำ เปลี่ยนเป็นคลื่นไมโครเวฟยิงผ่านดาวเทียม หรือถูกเปลี่ยนไปเป็นลำแสงวิ่งไปในเส้นใยแก้วนำแสง ผ่านใต้มหาสมุทร เชื่อมโยงประเทศต่าง ๆ เข้าด้วยกัน สัญญาณสื่อสารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เดินทางด้วยความเร็วเท่ากับแสง
เมื่อนำคลื่นแสง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาใช้ประโยชน์ ก่อให้เกิดระบบสื่อสารความเร็วสูงครอบคลุมทั่วโลก จนปัจจุบันเกิดเครือข่ายคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงกัน ดังตัวอย่างเช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
บริษัทที่สามารถตั้งร้านค้าของตนเองไว้บนอินเทอร์เน็ตโดยเขียนเป็นโฮมเพจ อาจนำเสนอสินค้าและบริการต่าง ๆ ลูกค้าสามารถขอใช้บริการโดยเข้ามาชมสินค้าที่เสนอ หรือซื้อสินค้าโดยใช้ดิจิตอลแคช (Digital Cash) หรือการจ่ายเงินผ่านทางบัตรเครดิต ทำให้เกิดบริการช็อปปิ้งบนเครือข่าย ธุรกิจบริการหลายอย่างใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการให้บริการ เช่น การสั่งพิซซ่า เราสามารถใช้บริการได้โดยเรียกเข้าไปยังโฮมเพจของบริษัทพิซซ่า เลือกดูรายการอาหาร หากต้องการสั่ง ก็สามารถกรอกข้อมูลใบสั่งได้ทันที การให้บริการบนเครือข่ายนี้เป็นหนึ่งในการดำเนินธุรกิจด้วยความเร็วแสง



โฮมเพจของบริษัทพิซซ่า



ลองนึกดูว่า ถ้าเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแพร่หลาย ทุกบ้านเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายได้สะดวก สิ่งที่จะเป็นไปได้คือ ขนาดของที่ทำงานในบริษัทจะเล็กลง แรงงานจะกระจายไปอยู่จุดต่าง ๆ โดยให้ต่างคนต่างทำงานที่บ้าน แล้วติดต่อผ่านทางเครือข่าย การทำธุรกิจด้วยความเร็วแสงนี้ จะทำให้รูปแบบขององค์กรปรับเปลี่ยนไปอย่างเด่นชัด
ในปัจจุบันการดำเนินธุรกิจด้วยความเร็วแสงนี้ ข้อมูลข่าวสารของสินค้าจะต้องส่งไปยังผู้บริโภคที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์จะเป็นตัวกลางที่ทำให้สามารถเลือกส่งไปยังเป้าหมายได้ ผู้บริโภคสามารถแสดงความคิดเห็นหรือความต้องการ ทำให้บริษัทได้สภาพการติดต่อสื่อสารแบบสองทางและเป็นการโต้ตอบที่รวดเร็ว
บริษัทขนส่งรายใหญ่ชื่อ "เฟเดอรัลเอกซ์เพรส" ใช้เครือข่ายเพื่อให้บริการลูกค้าเรียกเข้ามาที่โฮมเพจของตน ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะของพัสดุที่ให้บริษัทจัดส่ง สามารถตรวจสอบได้ว่าถึงที่หมายปลายทางแล้วหรือยัง การดำเนินธุรกิจยุคใหม่จึงต้องมีการโต้ตอบและให้บริการที่รวดเร็ว
ยุคแห่งการเสมือนจริง (Virtual)
ลองนึกถึงสภาพการจราจรในเมืองใหญ่ ๆ การเดินทางไปมาเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดีว่าต้องเสียเวลากับจราจรติดขัด และความน่าเบื่อที่ต้องผจญสังคมข่าวสารจะเข้ามาแก้ปัญหานี้ทางหนึ่ง การดำเนินธุรกิจด้วยความเร็วแสง จะทำให้เกิดระบบ "สำนักงานเสมือน (Virtual Office)" ระบบการค้าขายจะใช้เครือข่ายมากขึ้น เกิดระบบที่เรียกว่า "ไซเบอร์มอลล์ (Cyber mall) หรือไซเบอร์ช็อปปิ้ง" เป็นต้น
เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดความร่วมมือกันมากขึ้น ลดช่องว่างระหว่างชนบทกับในเมือง โครงสร้างการตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะเป็น Virtual Enterprise หรือการจัดสร้าง "องค์กรเสมือน" บนเครือข่ายที่เชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข่าวสารกันได้ง่าย โดยไม่มีความจำเป็นต้องเห็นหน้ากัน
เว็บ : หัวใจสำคัญของธุรกิจ Virtual
การเติบโตของจำนวนโฮมเพจมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เชื่อกันว่าในปัจจุบันมีจำนวนโฮมเพจมากเกินกว่าหนึ่งล้านโฮมเพจ โฮมเพจเหล่านี้เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายข้อมูลข่าวสารที่เรารู้จักกันในนาม WWW-World Wide Web
ชื่อของโฮมเพจหรือที่เรียกว่า เว็บไซท์ แต่ละแห่งต้องไม่ซ้ำกัน มีการขึ้นทะเบียนชื่อ ใครจดทะเบียนชื่อได้ก่อนก็ได้ใช้ ผู้จดทะเบียนภายหลังไม่สามารถใช้ชื่อซ้ำได้ สร้างปัญหาให้กับองค์กรบางองค์กรที่ต้องการใช้ชื่อที่สื่อความหมายกับองค์กรมากที่สุด แต่ไปซ้ำกับชื่อที่มีอยู่แล้ว หลักการตั้งชื่อยังไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาก เพราะชื่อเป็นการแบ่งแยกตามกลุ่ม ดูจากชื่อเว็บไซท์ของสถานีโทรทัศน์ไทยห้าแห่ง ก็มีวิธีการตั้งชื่อแตกต่างกัน



ร้านขายต้นไม้จริงบนเว็บ


เว็บไซท์แต่ละแห่งที่ตั้งกันขึ้นมามีจุดมุ่งหมายทางธุรกิจที่แตกต่างกัน บางแห่งเป็นเสมือนสื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์องค์กร บางแห่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือสินค้า บางแห่งใช้เป็นสื่อสำหรับการโต้ตอบกับลูกค้า ปัจจุบันมีการใช้เว็บไซท์เป็นแหล่งโฆษณาสินค้า บางแห่งยอมให้มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้โดยตรง ธุรกิจบนเว็บจึงดูจะมีความตื่นตัว และได้รับความสนใจมาก บริษัทหรือองค์กรทางธุรกิจทุกองค์กรจึงต้องตั้งเว็บของตนเอง มีการสร้างศิลปบนหน้าจอภาพให้ดูสวยงาม ดึงดูดให้อยากเข้าไปอ่านหรือชม บางแห่งมีวิธีการล่อด้วยการขึ้นข้อความที่เร้าใจเพื่อให้คลิกเข้าไปดู เทคนิคและวิธีการเขียนเว็บจึงได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการใช้กราฟฟิก สีสัน เสียง และภาพเคลื่อนไหวประกอบกัน หรือบางแห่งได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อเรียกร้องให้คนเข้ามาเปิดดู
เว็บของแต่ละองค์กรจึงเหมือนกับเอกสารเผยแพร่ขององค์กรที่ไม่ต้องใช้กระดาษ ข้อเด่นของเอกสารเหล่านี้คือเป็นเอกสารที่ผลิตขึ้นมาได้ง่าย รวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เป็นเอกสารที่สามารถส่งผ่านทางเครือข่ายไปยังที่ต่าง ๆ บนเครือข่ายได้ง่าย และที่สำคัญคือรูปแบบของเอกสารสามารถแสดงผลข้อมูลแบบมัลติมีเดีย จึงทำให้เกิดความน่าสนใจ
ด้วยความพยายามที่จะทำธุรกิจบนเครือข่ายเว็บ โดยการตั้งเป็นห้างร้านเพื่อโฆษณาขายสินค้า บางแห่งที่ขายซอฟต์แวร์มีการให้ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่สามารถดาวน์โหลดมาทดลองใช้ดูก่อนได้ หากพอใจค่อยสั่งซื้อ การตั้งร้านค้าขายสินค้ามีมากมายตั้งแต่การขายหนังสือ สิ่งพิมพ์ ซีดี เทป ของใช้ในบ้าน เครื่องมือเครื่องใช้ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน ฯลฯ การสั่งซื้อสินค้ามีแม้แต่การจัดส่งสินค้าโดยตรง เช่น ร้านขายพิซซ่า ไปจนถึงการส่งสินค้าทางไปรษณีย์ ส่วนการจัดเก็บเงินใช้วิธีการตัดโอนทางบัตรเครดิต
ลักษณะการทำธุรกิจบนเครือข่ายเว็บจะทำกันในรูปแบบการโต้ตอบเพื่อชี้แจง หรือให้รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การให้คำปรึกษาการบริการหลังการขาย รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้สินค้าเพื่อนำเอาข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์สินค้าให้ดียิ่งขึ้น
แต่การซื้อขายผ่านทางเครือข่ายเว็บยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก ทั้งนี้เพราะเครือข่ายเว็บเป็นเครือข่ายสาธารณะ การส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเครดิตไปในเครือข่ายมีลักษณะที่เสี่ยง เพราะรหัสเหล่านี้ถ้าตกอยู่ในมือมิจฉาชีพ อาจนำเอาไปใช้ในทางมิชอบได้ ผู้สั่งซื้อสินค้าทางเครือข่ายเว็บยังมีความรู้สึกไม่กล้าที่จะส่งหมายเลขบัตรเครดิต ส่วนร้านค้าก็ยังมีการจำกัดปริมาณเงินในการสั่งซื้อสินค้า เช่น ในวงเงินไม่เกินหนึ่งร้อยเหรียญ เป็นต้น
ข้อจำกัดในเรื่องความปลอดภัยของการรับส่งข้อมูลบนเครือข่าย จึงต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น บริษัทผู้ดำเนินการบัตรเครดิตทั้งหลายเห็นปัญหาเหล่านี้ จึงร่วมมือกับบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์บนเครือข่ายเพื่อพัฒนาลายเซ็นดิจิตอล ที่ใช ้สำหรับตรวจสอบและยืนยันตัวบุคคล หากโครงการนี้สำเร็จและนำออกมาใช้ได้ หนทางของการทำธุรกิจบนเว็บจะมั่นใจและแพร่หลายได้อีกมาก
นอกจากเรื่องลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ยังมีเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การเข้ารหัส หรือที่เรียกว่า "เอ็นคริพชั่น" และการถอดรหัส การป้องกันการบุกรุกเข้าไปโจรกรรมข้อมูลบนเครือข่าย เรื่องเหล่านี้กำลังเป็นปัญหาที่รุนแรงมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้มาก
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องการพัฒนาเทคนิคทางเว็บอีกประการหนึ่ง คือ มีการนำเอาเว็บมาใช้ในธุรกิจสินค้ายั่วยุกามารมณ์กันมากขึ้น เพราะธุรกิจนี้ให้บริการได้กว้างไกล ผู้ใช้อยู่ที่ใดก็สามารถเรียกเข้าหาได้ มีการให้บริการกับสมาชิกโดยการเก็บเงินค่าบริการ นับเป็นสิ่งที่ล่อแหลมต่อศีลธรรมและขนบธรรมเนียมอันดีงาม
กลุ่มผู้กำหนดมาตรฐานกลางของ WWW ที่มหาวิทยาลัย MIT แห่งสหรัฐอเมริกาจึงได้ตกลงกัน และกำลังจะพัฒนามาตรฐานการจัดระดับเว็บเพื่อกำหนดประเภทของเว็บไซท์ต่าง ๆ และให้บราวเซอร์มีระบบการป้องกันเพื่อให้มองเห็นเว็บไซท์ในระดับต่าง ๆ กันได้
การทำธุรกิจบนเว็บจึงเป็นธุรกิจที่กว้างไกลและไร้พรมแดน ผู้ตั้งร้านขายของบนเว็บหนึ่งแห่งสามารถบริการลูกค้าได้ทั่วโลก ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ใดบนเครือข่ายก็สามารถเข้าถึงได้
ธุรกิจบริการบนเว็บจึงมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น สิ่งที่สำคัญคือ ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยในเรื่องข้อมูล และสร้างความเชื่อมั่นว่าการส่งเงินผ่านบัตรเครดิตจะได้รับความคุ้มครองลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์จึงต้องได้รับการพัฒนาต่อไป
กำลังเป็นสังคมสารสนเทศ
ถนนของข้อมูลข่าวสารทุกสายมุ่งสู่เทคโนโลยีดิจิตอล เราสามารถแทนข้อมูลตัวอักษรด้วยหลักการเชิงตัวเลขที่เรียกว่า "ดิจิตอล" ความก้าวหน้าทำให้เราใช้ข้อมูลดิจิตอลแบบหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ข้อความเสียง รูปภาพ หรือแม้แต่วิดีโอ
ดิจิตอลเป็นคำพื้นฐานที่มีความหมาย "เชิงตัวเลข" หรือสามารถนำมาคำนวณได้ การที่เราแทนข้อมูลข่าวสารทุกอย่างด้วยหลักการเชิงตัวเลข เพราะสื่อสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้มีลักษณะที่เหมาะสมกับการแทนเลข "0" หรือ "1" ได้ง่าย
การประมวลผลของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ใช้หลักการสวิตช์ของตัวเลข "0" และ "1" และเรายังสามารถนำตัวเลขดิจิตอลเหล่านี้สื่อสารไปทางสายหรือไร้สายด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การใช้งานเชิงตัวเลขหรือใช้หลักการดิจิตอลจึงแพร่หลาย
หลักการพื้นฐานที่สำคัญคือ การแทนข้อมูลทุกอย่างด้วยหลักการทางดิจิตอล เช่น ตัวหนังสือทุกตัวสามารถแทนเป็นรหัสดิจิตอล คือประกอบด้วยกลุ่มตัวเลข "0" และ "1" ข้อมูลเสียงพูดก็แทนเป็นรหัส แล้วส่งกระจายด้วยสื่อทางไฟฟ้า ภาพหรือแม้แต่ข้อมูลวิดีโอก็ทำในลักษณะเดียวกันคือ แทนเป็นรหัสตัวเลขเสียก่อนแล้วจึงดำเนินการประมวลผลหรือสื่อสาร
จุดเด่นของการแทนข้อมูลทุกชนิดเป็นตัวเลข เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ได้ง่าย สามารถสวิตช์สับเปลี่ยนช่องทางสื่อสาร หรือแม้แต่การส่งผ่านไปยังที่ห่างไกลได้ง่าย
การทำงานเชิงดิจิตอลจึงใช้หลักการสวิตช์ความเร็วสูง ปัจจุบันเราสามารถสวิตช์ข้อมูลตัวเลขได้หลายร้อยล้านครั้งต่อหนึ่งวินาที ซีพียูในปัจจุบันทำงานที่ความถี่ของสัญญาณนาฬิกาที่เคาะจังหวะการสวิตช์ด้วยความเร็วสูงหลายร้อยล้านครั้งต่อวินาที
การสวิตช์สัญญาณสื่อสารในระบบสื่อสารต่าง ๆ ก็ใช้หลักการทางดิจิตอล การสื่อสารด้วยหลักการเฟรมรีเลย์ใช้หลักการนำข้อมูลข่าวสารเป็นตัวเลขมารวมกันเป็นกลุ่มที่เรียกว่า "เฟรม" แล้วสวิตช์เลือกเส้นทางเพื่อส่งไปยังปลายทาง การสื่อสารด้วยหลักการทางดิจิตอลจึงมีความแน่นอน แม่นยำ และรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้เองสังคมสมัยใหม่จึงเป็นสังคมที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ดิจิตอลมากมาย การที่เราใช้เครื่องมือสมัยใหม่ที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุม ทำให้การทำงานมีลักษณะทำตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ หรือทำงานแบบอัตโนมัติได้ดีขึ้น
สังคมสมัยใหม่จึงเป็นสังคมที่ใช้ข้อมูลดิจิตอล ชีวิตในบ้านที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่ ตั้งแต่เตาอบเครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีระบบควบคุมการทำงานที่โปรแกรมได้ โทรศัพท์ที่ใช้ในปัจจุบันก็แปลงสัญญาณเสียงของเราเป็นดิจิตอล ประมวลผลหาเส้นทางเชื่อมโยงไปยังผู้พูดที่ต้องการเรียกติดต่อได้ เอกสารข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้ในสำนักงานก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้เวิร์ดโปรเซสเซอร์ สามารถรับส่งแฟ้มระหว่างกัน สื่อสารทางด้านอิเล็กทรอนิกส์เมล์ จนกล่าวกันว่าในไม่ช้า แม้แต่การอ่านหนังสือพิมพ์ ก็เรียกดูผ่านจอภาพและเรียกอ่านได้จากที่บ้าน
บทบาทของการใช้งานแบบดิจิตอลนี้ มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาก สื่อผสมที่เรียกว่า "มัลติมีเดีย" กำลังมีบทบาทจนหลายคนอาจจะเข้าใจว่าดิจิตอลจะเข้ามาแทนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่เป็นข้อมูลข่าวสาร
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก เช่น อินเทอร์เน็ต ก็รับส่งข้อมูลในรูปแบบที่เป็นข้อมูลเชิงตัวเลข การจินตนาการผ่านเข้าไปในเครือข่ายเพื่อติดต่อสื่อสารกัน ทำให้เกิดรูปแบบของสังคมที่เรียกว่า "ไซเบอร์สเปซ" เกิดการทำงานในลักษณะเสมือนจริงที่เรียกว่า VR (Virtual Reality)
การที่เราใช้หลักการทางดิจิตอล เพราะเราใช้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ทำงานด้วยหลักการสวิตช์ตัวเลข "0" และ "1" ซึ่งเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยี เราจึงเปลี่ยนแปลงข้อมูลข่าวสารทุกอย่างให้เข้ากับข้อจำกัดทางวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ลองนึกดูว่าเมื่อเรามองรูปภาพ เราสามารถเก็บข้อมูลข่าวสารเข้ามาแปลความที่สมองได้มากมาย ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นจะแปลเป็นดิจิตอลได้หมด หรือสิ่งที่เราแทนทางดิจิตอล จึงมีข้อจำกัดอยู่มากและมิอาจแทนทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด
แต่อย่างไรก็ตามการใช้หลักทางดิจิตอลก็ทำให้มีผลิตผลของการใช้งานได้มากมาย สังคมในปัจจุบันเป็นสังคมไร้พรมแดน ข้อมูลข่าวสารจากประเทศหนึ่งสื่อสารถึงอีกประเทศหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว การติดต่อของประชาคมโลกในปัจจุบันจึงปราศจากพรมแดนกั้น สังคมสมัยใหม่จึงเป็นสังคมของการใช้ข่าวสารแบบดิจิตอลที่กระจายถึงกัน แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ตัวเลข "0" และ "1" สามารถทำให้สังคมโลกเปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนี้ สังคมที่กำลังจะกลายเป็นสังคมแห่งโลกเสมือนจริงในไซเบอร์สเปซ



ธุรกิจโฆษณาบนเว็บเพิ่มความตื่นตัวขึ้นทุกทีแต่การซื้อขายยังเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวของผู้ใช้..ระบบความปลอดภัย จึงเป็นสิ่งที่นักธุรกิจบนเว็บต้องหาทางสร้างความมั่นใจมิฉะนั้น การแจ้งเกิดธุรกิจบนเว็บ คงเกิดยากโดยแท้
การเติบโตของจำนวนโฮมเพจมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เชื่อกันว่าในปัจจุบันมีจำนวนโฮมเพจมากเกินกว่าหนึ่งล้านโฮมเพจ โฮมเพจเหล่านี้เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายข้อมูลข่าวสารที่เรารู้จักกันในนาม WWW-World Wide Web
ชื่อของโฮมเพจหรือที่เรียกว่า เว็บไซท์ แต่ละแห่งต้องไม่ซ้ำกัน มีการขึ้นทะเบียนชื่อ ใครจดทะเบียนชื่อได้ก่อนก็ได้ใช้ ผู้จดทะเบียน ภายหลังไม่สามารถใช้ชื่อซ้ำได้ สร้างปัญหาให้กับองค์กรบางองค์กรที่ต้องการใช้ชื่อที่สื่อความหมายกับองค์กรมากที่สุด แต่ไปซ้ำกับชื่อที่มี อยู่แล้ว หลักการตั้งชื่อยังไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาก เพราะชื่อเป็นการแบ่งแยกตามกลุ่ม ดูจากชื่อเว็บไซส์ของสถานีโทรทัศน์ไทยห้าแห่ง ก็มีวิธี การตั้งชื่อแตกต่างกัน
เว็บไซส์แต่ละแห่งที่ตั้งกันขึ้นมามีจุดมุ่งหมายทางธุรกิจที่แตกต่างกันบางแห่งเป็นเสมือนสื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์องค์กร บางแห่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือสินค้า บางแห่งใช้เป็นสื่อสำหรับการโต้ตอบกับลูกค้า ปัจจุบันมีการใช้เว็บไซส์เป็นแหล่งโฆษณา สินค้า บางแห่งยอมให้มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้โดยตรง ธุรกิจบนเว็บจึงดูจะมีความตื่นตัว และได้รับความสนใจ มาก บริษัทหรือองค์กรทางธุรกิจทุกองค์กรจึงต้องตั้งเว็บของตนเอง มีการสร้างศิลปะบนหน้าจอภาพให้ดูสวยงามดึงดูดให้อยากเข้าไปอ่าน หรือชม บางแห่งมีวิธีการล่อด้วยการขึ้นข้อความที่เร้าใจเพื่อให้คลิกเข้าไปดู เทคนิคและวิธีการเขียนเว็บ จึงได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการใช้กราฟฟิก สีสัน เสียง และภาพเคลื่อนไหวประกอบกัน หรือบางแห่งได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อเรียกร้องให้คนเข้ามาเปิดดู
เว็บของแต่ละองค์กรจึงเหมือนกับเอกสารเผยแพร่ขององค์กรที่ไม่ต้องใช้กระดาษ ข้อเด่นของเอกสารเหล่านี้คือเป็นเอกสารที่ ผลิตขึ้นมาได้ง่าย รวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เป็นเอกสารที่สามารถส่งผ่านทางเครือข่ายไปยังที่ต่าง ๆ บนเครือข่ายได้ง่าย และที่สำคัญ คือรูปแบบของเอกสารสามารถแสดงผลข้อมูลแบบมัลติมีเดีย จึงทำให้เกิดความน่าสนใจ
ด้วยความพยายามที่จะทำธุรกิจบนเครือข่ายเว็บโดยการตั้งเป็นห้างร้านเพื่อโฆษณาขายสินค้าบางแห่งที่ขายซอฟต์แวร์มีการให้ ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่สามารถ์ดาวน์โหลดมาทดลองใช้ดูก่อนได้ หากพอใจค่อยสั่งซื้อ การตั้งร้านค้าขายสินค้ามีมากมายตั้งแต่การขายหนังสือ สิ่งพิมพ์ ซีดี เทป ของใช้ในบ้าน เครื่องมือเครื่องใช้ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน ฯลฯ การสั่งซื้อสินค้ามีแม้แต่การจัดส่งสินค้า โดยตรง เช่น ร้านขายพิซซ่าไปจนถึงการส่งสินค้าทางไปรษณีย์ส่วนการจัดเก็บเงินใช้วิธีการตัดโอนทางบัตรเครดิต
ลักษณะการทำธุรกิจบนเครือข่ายเว็บจะทำกันในรูปแบบการโต้ตอบเพื่อชี้แจง หรือให้รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์การให้คำ ปรึกษา การบริการหลังการขาย รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้สินค้าเพื่อนำเอาข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์สินค้าให้ดียิ่งขึ้น
แต่การซื้อขายผ่านทางเครือข่ายเว็บยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะเครือข่ายเว็บยัง จำกัดอยู่ในกลุ่มคนที่ใช้อินเทอร์เน็ต ทั้งนี้เพราะ เครือข่ายเว็บเป็นเครือข่ายสาธารณะ การส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเครดิตไปในเครือข่ายมีลักษณะที่เสี่ยง เพราะรหัสเหล่านี้ถ้าตกอยู่ในมือมิจฉาชีพ อาจนำเอาไปใช้ในทางมิชอบได้ ผู้สั่งซื้อสินค้าทางเครือข่ายเว็บยังมีความรู้สึกไม่กล้าที่จะส่งหมายเลขบัตรเครดิต ส่วนร้านค้าก็ยังมีการจำกัด ปริมาณเงินในการสั่งซื้อสินค้า เช่น ในวงเงินไม่เกินหนึ่งร้อยเหรียญ เป็นต้น
ข้อจำกัดในเรื่องความปลอดภัยของการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายจึงต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น บริษัทผู้ดำเนินการบัตรเครดิต ทั้งหลายเห็นปัญหาเหล่านี้ จึงร่วมมือกับบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์บนเครือข่ายเพื่อพัฒนาลายเซ็นดิจิตอล ที่ใช้สำหรับตรวจสอบและยืนยันตัว บุคคล หากโครงการนี้สำเร็จและนำออกมาใช้ได้ หนทางของการทำธุรกิจบนเว็บจะมั่นใจและแพร่หลายได้อีกมาก
นอกจากเรื่องลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ยังมีเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การเข้ารหัส หรือที่เรียกว่า "เอ็นคริพชั่น" และ การถอดรหัส การป้องกันการบุกรุกเข้าไปโจรกรรมข้อมูลบนเครือข่าย เรื่องเหล่านี้กำลังเป็นปัญหาที่รุนแรงมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น ได้มาก
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องการพัฒนาเทคนิคทางเว็บอีกประการหนึ่ง คือ มีการนำเอาเว็บมาใช้ในธุรกิจสินค้ายั่วยุกามารมณ์กันมากขึ้น เพราะธุรกิจนี้ให้บริการได้กว้างไกล ผู้ใช้อยู่ที่ใดก็สามารถเรียกเข้าหาได้ มีการให้บริการกับสมาชิกโดยการเก็บเงินค้าบริการ มีการให้บริการ กับสมาชิกโดยการเก็บเงินค้าบริการ นับเป็นสิ่งที่ล่อแหลมต่อศีลธรรมและขนบธรรมเนียมอันดีงาม
กลุ่มผู้กำหนดมาตรฐานกลางของ WWW ที่มหาวิทยาลัย MIT แห่งสหรัฐอเมริกาจึงได้ตกลงกัน และกำลังจะพัฒนามาตรฐาน การจัดระดับเว็บเพื่อกำหนดประเภทของเว็บไซส์ต่าง ๆ และให้บราวเซอร์มีระบบการป้องกันเพื่อให้มองเห็นเว็บไซส์ในระดับต่าง ๆ กันได้ หรือจำกัดกลุ่มผู้ใช้เฉพาะสมาชิก
การทำธุรกิจบนเว็บจึงเป็นธุรกิจที่กว้างไกลและไร้พรมแดน ผู้ตั้งร้านขายของบนเว็บหนึ่งแห่งสามารถบริการลูกค้าได้ทั่วโลก ไม่ว่า ลูกค้าจะอยู่ที่ใดบนเครือข่ายก็สามารถเข้าถึงได้
ธุรกิจบริการบนเว็บจึงมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น สิ่งที่สำคัญคือ ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยในเรื่องข้อมูล และสร้าง ความเชื่อมั่นว่าการส่งเงินผ่านบัตรเครดิตจะได้รับความคุ้มครองลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์จึงต้องได้รับการพัฒนาต่อไป


ประวัติส่วนตัว

ชื่อ น.ส. วราภรณ์ ว่องวรรณกร อายุ 20 ปี เกิดวันที่ 19 พ.ย. 29 บ้านเลขที่ 3/1 หมู่ 2 ต.จอมบึง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี 70150 กำลังศึกษาอยู่ เอกคอมพิวเตอร์ศึกษา ปี 3

*********_AUM_********

*********_AUM_********